วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553


จากใจครูใต้ปลายด้ามขวาน

ครูผู้ประเสริฐ เป็นที่เลื่อมใสศรัธาของศิษย์ อบรมชักนำศิษย์ไปในทางที่ดี ความรู้อันกระจ่างแจ้งของครู และด้วยคุณธรรมของครู จึงน่าจะสรุปได้ว่า "ครูที่ดีมีความสามารถ ต้องเป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม" หากไม่มี บันใดขั้นแรก ก็ไม่อาจที่จะใต่ข้ามไปยังบันใดขั้นต่อไปได้ ครูจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของศิษย์ เป็นบุคคลที่ควรได้รับการยกย่อง ครูเป็นบุคคลที่ไม่มีอาวุธที่จะใช้สำหรับการประหัตประหารหรือใช้ทำร้ายผู้ใด อาวุธของครูคือชอล์กกับไม้เรียวที่จะเป็นอาวุธสำหรับการให้ความรู้กับศิษย์ แต่น่าใจหาย จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา ๕ ปีกว่า

ครูผู้ไม่ควรที่จะต้องสละชีวิตให้กับการกระทำของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีครูเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ จากวันเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบนับถึงวันนี้ครูจำนวน ๑๑๓ คน ที่ต้องสูญเสียชีวิต ยังไม่รวมถึงครูที่ได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน สำหรับหลายๆ ท่านอาจจะไม่มีความรู้สึกใดๆ หากไม่เจอกับตนเอง แต่ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นครูคนหนึ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ ถึงแม้ว่าจะได้มีโอกาสย้ายออกนอกพื้นที่ไปเมื่อปี ๒๕๔๙ แต่ก็เพราะย้ายติดตามครอบครัว และปี ๒๕๕๑ เป็นต้นมายังได้กลับมาช่วยปฏิบัติราชการอยู่ในพื้นที่อีกครั้ง อยากจะบอกกล่าวความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพราะผู้เขียนเอง ก็เคยประสบเหตุด้วยตนเอง

เมื่อเดือนเมษายน ปี ๒๕๔๗ ได้เดินทางเข้าไปในอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ใช้เส้นทางบ้านเจาะกือแย เวลาประมาณ ๒๑.๓๐ นาฬิกา ปากทางเข้าไปก็มีป้อมตำรวจอยู่ แต่ก็ไม่มีการแจ้งข่าวใดๆ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะยังไม่ทราบก็ไม่อาจคาดเดา เข้าไปประมาณ ๕ กิโลเมตร ก็เจอต้นไม้ขนาดใหญ่ขวางถนนอยู่ พอถอยรถกลับก็รู้สึกถึงความไม่ปกติของล้อรถ แต่ก็กลับรถออกมาจนถึงหน้าป้อมตำรวจ แวะจอดดูล้อรถถึงได้รู้ว่าโดนตะปูเรือใบ ๓ ล้อ เหลือเพียงล้อเดียวที่ไม่โดน จึงบอกตำรวจที่อยู่หน้าป้อม ตำรวจก็บอกว่ารู้แล้ว กำลังจะปิดเส้นทางอยู่เหมือนกัน นี่คือคำตอบ ก็ไม่ทราบว่าตำรวจเพิ่งรู้หรือรู้ก่อนแล้ว ก็เลยเปลี่ยนเส้นทางกลับทางถนนใหญ่ แต่ไปไม่ถึงหรอก ยางรถโดนหนักขนาดนั้น ต้องโทรหาปลัดอำเภอสายบุรี และรอรถของเทศบาลมาช่วยลากรถให้ ขณะนั้นก็ปาเข้าไป ๔ ทุ่มกว่าๆ ก็ตกอยู่ในสภาวะที่มีแต่ความกลัว แต่อาจจะเป็นได้ว่ายังไม่ถึงคราวตาย จึงได้รอดพ้นจากเหตุการณ์คราวนั้นมา แต่ถ้าหากเจอกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบดักซุ่มยิงในวันนั้น ณ วันนี้ก็คงไม่มีโอกาสที่จะมีลมหายใจอย่างแน่นอน แม้จะเป็นเพียงเหตุการณ์เล็กน้อยที่ประสบด้วยตนเองแต่ยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ในขณะที่บุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บ ถึงล้มตาย ความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งตนเองและญาติพี่น้องคงจะมากกว่าผู้เขียนหลายเท่านัก

การลอบทำร้ายครูในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่หน่วยงานทางด้านความมั่นคงไม่ควรจะมองข้าม แม้จะได้ผลในทางจิตวิทยาของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ แต่ในทางตรงกันข้าม กลับกลายเป็นการทำร้ายและทำลายชีวิตของผู้บริสุทธิ์ที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง การมุ่งร้ายบุคคลที่บริสุทธิ์ถึงชีวิต เป็นสิ่งที่ผิดทั้งหลักคุณธรรม จริยธรรม ผิดหลักศาสนา ผิดกฎหมาย แต่ผู้ก่อความไม่สงบ ทำร้ายครู ฆ่าครู ไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี การเผาโรงเรียน การทำร้ายครู ไม่ควรจะเกิดขึ้นในดินแดนที่ได้ชื่อว่า ระเบียงแห่งเมกกะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ชีวิตครูผู้ให้ต้องดับสูญรายแล้วรายเล่า และหากเหตุการณ์ความไม่สงบยังไม่ยุติ เชื่อว่าการทำร้ายครูก็ยังจะเกิดขึ้น

มีใครที่จะให้คำรับรองในความปลอดภัยแก่ครูในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้บ้าง การขอย้ายไปสอนที่อื่นจะเป็นความต้องการสุดท้ายของครู แต่การเป็นครูในพื้นที่โดยไม่คำนึงถึงอันตรายเพื่อศิษย์ผู้ที่จะเป็นอนาคตของชาติต่อไป คือสิ่งเดียวที่ยืนหยัดอยู่ในหัวใจของครู ไม่ใช่เฉพาะชีวิตของครูเท่านั้น ชีวิตทุกชีวิตไม่ควรจะสูญเสีย กี่ภาพกี่ข่าวของความสูญเสียที่ผ่านสายตา ในเรื่องของการทำผลงานเพื่อเลื่อนตำแหน่งหรือ วิทยฐานะของครูก็เป็นความหวังที่เลือนลาง แม้แต่ดูแลชีวิตตัวเองยังลำบาก ตอนเช้าไปทำงาน ตอนเย็นอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน สิ่งที่หวังคืออยากให้เหตุการณ์ความไม่สงบยุติแบบเด็ดขาด เพราะผู้เขียนเชื่อว่าหากเหตุการณ์ความไม่สงบไม่ยุติ การพัฒนาจะไม่เกิด หรือถ้ามีก็จะเป็นแบบลุ่มๆ ดอนๆ นโยบายต่างๆ บวกกับงบประมาณที่มากมายจากภาครัฐที่ทุ่มมายังพื้นที่จังหวัดภาคใต้เป็นเรื่องดีหากบรรลุเป้าหมายเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่โดยตรง ได้พูดคุยกับบุคคลท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้แต่ขอสงวนนาม ผู้เขียนตั้งคำถามกับท่านว่า "เมื่อไหร่เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จะยุติ ?" ท่านผู้นี้ตอบว่า "หากรู้แล้วจะอยู่ในพื้นที่ไม่ได้ หากจะอยู่ในพื้นที่ก็ไม่ควรจะรู้" จึงเป็นคำตอบที่ยังคลำหาทางออกไม่เจอ

แด่...หมวดตี้ ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ ผู้เสียสละ


เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน2551เชื่อว่าจะมีอีกข่าวหนึ่งที่น่าสนใจ กินใจ และน่าคิด สำหรับใครต่อใครในบ้านเมือง

นั่นคือ...ข่าวเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจตะเวนชายแดนชุดพลร่มพิเศษ 01 ของฐานปฏิบัติการตำรวจตะเวนชายแดน (ตชด.) มว.รพศ.1 บ้านสันติ 1 ถูกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบลอบซุ่มโจมตีบนถนนสายเขื่อนบาง-ลางสันติ 1 หมู่ที่ 2 ตำบลเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตา ขณะออกลาดตระเวนพื้นที่และปะทะกันเป็นเวลากว่า 10 นาที เป็นเหตุให้ "หมวดตี้" หรือ "ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ" รองผู้บัญชาการร้อยตำรวจชายแดน หน่วยเฉพาะกิจ หน่วยรบพิเศษที่ 1 นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่ง วัย 24 ปี ซึ่งเป็น "หัวหน้าชุด" เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และมีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บอีก 4 นาย ซึ่งตั้งแต่ช่วงสายจรดค่ำคืน ศพของเขาก็ยังไม่สามารถนำออกมาจากบริเวณที่เกิดเหตุการปะทะกันได้

ที่ว่าน่าสนใจจนต้องมาเขียนถึง "หมวดตี้" ไม่ใช่แค่เขาเป็น "วีรชน-ผู้กล้า-เสียสละ" เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน แต่ก่อนเสียชีวิต "หมวดตี้" ได้เขียนบันทึกชุดสุดท้ายให้ผู้คนได้อ่าน ก่อนหน้าที่เขาจะออกไปลาดตะเวนจนเสียชีวิตไม่ถึงชั่วโมง ซึ่งทำให้หลายคนเกิดอาการน้ำตาซึมเมื่อได้อ่านมัน ทั้งในขณะที่ยังไม่ทราบและทราบภายหลังว่า เขาได้เสียชีวิตลงไปแล้ว


โดยไดอารี่ฉบับสุดท้ายที่หมวดตี้เขียนไว้คือวันที่ 20 มิถุนายน 2551 ซึ่งวันนั้นเป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่ 24 ของเขา ใช้ชื่อเรื่องว่า "ครั้งแรก" ซึ่งขึ้นต้นว่า "ก็มันไม่เคยนิ" และ "วันนี้อยู่ดูโลกให้โสภิณ พรุ่งนี้ชีวินสิ้น ไม่รู้...วันตาย..." ราวกับจะเป็นลางบอกลากลายๆ ซึ่งในไดอารี่เขาได้มอบบทเพลง "อิ่มอุ่น" ของ "ศุ บุญเลี้ยง" ให้กับ "แม่" ของเขาที่อยู่จังหวัดลพบุรี พร้อมๆ กับคำขอบคุณแม่ (ซึ่งเกิดในวันเดียวกันกับเขา) ที่ทำให้เขาเกิดขึ้นมาลืมตาดูโลก ด้วยข้อความสื่อสารถึงแม่ที่ว่า…

"แม่จ๋า... วันเกิดลูกไม่ได้ไปฉลองที่ไหนจริงๆ นะแม่ แถวนี้ไม่มีที่ให้ฉลองอะ แค่ลูกรอดกลับมาได้ก็พอใจแระ ...เดี๋ยวรอกลับไปฉลองกับเด็จแม่ที่บ้านเรา เนอะๆ...ไม่ได้กลับไปหาเด็จแม่นานแล้วด้วย คิดถึ้งงง คิดถึงว่าจะไปหาเด็จแม่.... ไปขอตังค์ 55+"

"วันเกิดเด็จแม่ เด็จลูกก็ขอให้เด็จแม่แข็งแรงเน้อ...อยู่กะลูกไปนานๆ ให้ถึงวันลูกติดนายพลเลยนะแม่นะ...และก็..ขอให้เด็จแม่มีลูกสะใภ้คนโตสวยๆน่ารักๆ นิสัยดีๆ...(อันนี้ออกแนวหวังผลกะตัวเอง 55+)"

พร้อมกันนั้น "หมวดตี้" ยังแจกเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ใครต่อใครส่งSMSไปอวยพรวันเกิด ซึ่งในขณะที่บันทึกเขาจะบอกว่า "งานเข้าแต่เช้า" เพราะมีเหตุต้องคุมชุดลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ และในขณะที่เพื่อนๆ ของเขาหลายคนส่ง SMS หรือโพสต์ข้อความลงในไดอารี่ของเขา เพื่ออวยพรวันเกิดให้เขาปลอดภัย มันจะเป็นเวลาเดียวกับที่เขากำลังยิงประทับกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอย่างดุเดือด และเมื่อเวลา 11.23 น. เขาก็ถูกยิงจนเสียชีวิต


นี่เป็นเรื่องราวของผู้หมวดตะเวนชายแดนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่มีความรักหวงแหนในผืนแผ่นดินชาติมาตุภูมิ รักประชาชน..รักแม่ เหมือนกับคนอื่นๆขอมอบดอกไม้คารวะต่อดวงวิญญานของ "หมวดตี้" ผู้มีความ "รักชาติ" อย่างแท้จริง..!!

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

เด็กชายชาวยะลาเขียนจดหมายถึงทหาร





เด็กชายชาวยะลาเขียนจดหมายถึงทหาร
ถึง คุณลุงทหาร

บ้านเกิดผมอยู่ที่ยะลาครับ พวกคุณลุง คงรู้กันใช่มั๊ยครับว่ากำลังเกิดเหตุการณ์อะไรในนั้น .... มีคนบริสุทธ์โดนฆ่าตายทุกวัน ๆ แม่ผมโทรมาหาผมบ่อย ๆ ถ้ามีเวลาว่างผมก็จะพยายามโทรหาแม่ครับ ผมกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้คุยกับเค้าอีก ... ผมกลัวจริง ๆ แม่บอกว่า วันที่ 2 นี้เค้าอาจจะชักธงชาติของรัฐปัตตานีขึ้นแล้ว ถ้าพวกนั้นทำได้ก็หมายความว่าเราจะไม่ใช่คนไทยอีก จะกลับบ้านผมก็ต้องใช้ passport เพื่อนกลับบ้านเกิดตัวเอง ... ผมกำลังจะเป็นคนต่างชาติไปแล้ว แต่ก่อน.......... ผมเรียนหนักมาก ผมมีกำลังใจทุกครั้งที่แม่โทรมา ผมยอากคุยกับแม่บ่อย ๆ ( ถึงบางครั้งมะม๊าจะดุเรื่องใช้เงินเยอะก็เถอะ ) แต่ตอนนี้....... ทุกครั้งที่แม่โทรมา ผมใจเสียตลอดเลยครับ ผมกลัว ... กลัวว่าจะได้ยินข่าวร้าย ผมกลัวทุกครังที่ที่บ้านโทรมา ผมกลัว แม่บอกว่าตอนนี้เราต้องใช้เงินให้ประหยัด เพราะคนงานเค้าไม่กล้าออกไปทำสวนยางให้ เค้ากลัวว่าจะโดนฆ่า เถ้าแก่สวนยางเลยต้องเดินทางไปสวนของตัวเองบ่อย ๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้ ... แม่ต้องขับรถเข้าออกสวนของเรา 2 วันครั้ง ระยะทาง20กิโลกว่า ๆ ต้องผ่านหมูบ้านอิสลาม หลายหมู่บ้าน ผมกลัวอีกแล้ว ราคายางก็ตกลงทุกวัน ๆ จนคนงานบางคนนึกว่าไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย+เสี่ยงกับตายฟรี ๆ ด้วยก็พากันลาออกไป สวนยางบางที่ก็มาเล่าให้แม่ฟังว่า เค้าหนีไปอยู่วัดเพราะกลัวอันตราย แต่พอกลับมาที่สวน ต้นไม้ทุกต้นที่อุสาต์ปลูกมาเป็น 10 ปีกว่าจะใช้งานออกผลได้ก็ถูกพวกโจรใต้ตัดทำลายไปไม่เหลือชื้นดี เค้าร้องไห้เพราะชีวิตไม่เหลืออะไรแล้ว แม่ผมไม่ให้กลัวว่าเค้าจะมาทำร้ายแม่ แต่กลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ลูก ๆ จะอยู่ยังไง ตอนนี้พวกโจรแจกจดหมายไปทั่วเมืองว่าห้ามเราทำงาน ห้ามออกจากบ้าน ห้ามอยู่ไกล้กับพวกตำรวจ ไม่งั้นเค้าจะตามฆ่าถึงบ้าน คนที่เค้าทนไม่ไหวก็ต้องยอมขายบ้านขายที่ดินในราคาถูก ๆ ไปแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นแทน คนแถวนั้นก็น้อยลงทุกวัน ๆ แม่พูดว่าถ้าเค้าเอาจังหวัด 3 จังหวัดเป็นประเทศเค้าได้จริง ๆ ..ถ้าเค้าปกครองดีก็ดี แต่มันก็มีเปอร์เซ็นต์ที่เค้าจะไล่คนจีนคนไทยออกไปให้หมด น้องสาวผมเรียนอยู่ปัตตานี ตั้งใจเรียนตลอด อ่านหนังสือถึงตี 2 ตื่น 7 โมงเช้าทุกวัน เรียนได้ 4.00 ตลอดเพราะอยากทำให้แม่ดีใจ ...เวลามันกลับบ้านทีนึงผมต้องโทรเช็คตลอดว่าถึงบ้านรึเปล่า แม่ต้องย้ำเสมอว่ากลับมายะลาต้องกลับเช้าส ๆ นะเพราะโจรมันจะฆ่าคนส่วนใหญ่ตอนกลางวัน ผมไม่เป็นอันทำอะไรเวลารู้ว่าน้องจะกลับบ้าน กลัวมันจะโดน ......... ฆ่า(อย่างที่คุณลุงคิดละครับ) สุขภาพจิตผมแย่มาก ๆ ร้องไห้ก่อนอนทุกวัน ไม่มีสมาธิเรียนหนังสือเลยครับได้แต่อยู่กับเพื่อน ๆ แล้วหลอกตัวเองว่ากูมีความสุขทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ ผมคิดอยากกลับบ้านไปหาแม่ อยากตาย ... ตายในอ้อมกอดแม่ก็ยังดี ทำไมคนไม่กี่คนสามารถสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้ล่ะครับ แล้วรัฐบาลเค้าทำอะไรอยู่อ่ะครับ เค้าไม่เห็นจะแคร์เลยว่าคนที่นั่นจะเป็นยังไง เค้ามีคนเยอะกว่าพวกโจรอีกแต่ทำไมเค้ายังจับโจรไม่ได้เลยล่ะครับ ถ้าผมพิมพ์ตรงไหนผิดผมก็ขอโทษจริง ๆ ครับ นั้งพิมพ์ไปน้ำตาก็ไหลมองแป้นไม่ได้เลยครับ ... ผมยังอยากเป็นคนไทย ผมอยากอยู่แบบไม่ต้องกังวลอะไร ผมคิดถึงบ้านเกิด ... เมืองที่หมอกลงตอนหน้าหนาวปกคลุมทั้งเมือง เมืองที่ผู้คนยิ้มแย้มให้กัน อยู่ด้วยกันทั้งคนจีนคนไทยคนอิสลาม มันไม่มีอีกแล้วใช่มั๊ยครับ... ผมไม่รู้ว่าวันไหนโชคร้ายจะมาเยี่ยมบ้านผม....ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ....ผมก็จะตามแม่ไปครับ เป็นห่วงแม่และทุกคนที่นั่นนะครับ ท้ายนี้ผมขอให้ช่วยบ้าน ช่วยแม่ผมด้วยครับ ขอบพระคุณครับ ................................................

เพื่อความปลอดภัยขออนุญาตไม่เผยแพร่ชื่อ
ขอบคุณ